วันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ความเชื่อเกี่ยวกับกระบองเพชร



       การเป็นมงคล คนไทยโบราณเชื่อว่าบ้านใดปลูกต้นกระบองเพชรไว้ประจำบ้านจะทำให้เกิดโชคลาภ เพราะถ้าผู้ใดปลูกต้นกระบองเพชรให้เกิดดอกได้มากและสวยงามแสดงว่าผู้นั้นจะมีโชคลาภ ดังนั้นคนไทยโบราณเชื่อว่าเป็นไม้เสี่ยงทายชนิดหนึ่ง นอกจากนี้ยังเชื่ออีกว่าสามารถป้องกันศัตรูจากภายนอกได้อีกด้วย เพราะต้นกระบองเพชรมีหนามและความคงทนแข็งแรง ดังนั้นคนไทยโบราณจึงนิยมปลูกตามแนวรั้วบ้าน เพื่อให้เป็นที่กลัวเกรงของศัตรูภายนอกตำแหน่งที่ปลูกและผู้ปลูก เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นกระบองเพชรไว้ทางทิศตะวันตก ผู้ปลูกควรปลูกในวันเสาร์ เพราะคนโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เพื่อเอาคุณควรปลูกวันเสาร์












ที่มา : http://sugritacactus.blogspot.com/

ประโยชน์ของกระบองเพชร







ช่วยดูดรังสี


        มีการวิจัยจากต่างประเทศเชื่อกันว่า แคคตัส หรือ กระบองเพชร นำมาตั้งหน้าคอมพิวเตอร์ สามารถช่วยลดรังสีที่แผ่ออกมาจากคอมพิวเตอร์ได้     อย่างที่ทราบกันอยู่แล้วว่า แสงในหลอดไฟ โทรทัศน์ และคอมพิวเตอร์เมื่อมีการใช้งานนานๆ จะส่งผลต่อสายตา ก่อให้เกิดการระคายเคืองเยื่อบุตา และแสบตาไปจนถึงขั้นปวดศีรษะและอาเจียน โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ ทำให้เกิดโรคต้อกระจกเร็วกว่าเดิม หรือปัญหาประสาทตาเสื่อม
   





ช่วยยับยั้งการดูดซึมไขมัน



        เนื่องจากกระบองเพชรเป็นพืชที่ให้ปริมาณไฟเบอร์สูงมาก จึงมีส่วนสำคัญในการช่วยควบคุมการอยากอาหาร (Appitite Control) และยังมีคุณสมบัติพิเศษ ที่จะเข้าไปจับกับโมเลกุลไขมันที่ลอยตัวอยู่เหนือกระเพาะอาหาร ทำให้ไขมันไม่สามารถถูกดูดซับเข้าไปทางผนังลำไส้เล็กได้ และจะถูกจำกัดออกจากร่างกาย โดยการขับถ่าย นอกจากนี้ ยังช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติ โดยมีกลไกทำให้อาหารถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดช้าลง จึงช่วยป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดสูงได้








ที่มา : http://plantedcactus.blogspot.com/2013/06/blog-post_20.html

สายพันธุ์ของกระบองเพชร








        กระบองเพชรเป็นพืชในวงศ์ cactaceae มีอยู่ประมาณ 50-150 สกุล สองพันกว่าชนิด แบ่งออกเป็นกลุ่มต่างๆได้ 8 กลุ่ม ดังนี้



1. กลุ่ม Pereskia 

    มีใบแท้จริงอยู่ ไม่ีมีหนามหรือขนแข็ง ปลายงอ เมล็ดมีสีดำและเยื่อหุ้มเมล็ด 










2. กลุ่ม Opunita 

    ใบมีขนาดเล็กมาก มีหนามหรือขนแข็งปลายงอ เมล็ดมีเยื่อหุ้มเมล็ด










3. กลุ่ม Cereus

    ไม่มีใบ เมล็ดมีสีดำหรือน้ำตาล ต้นเป็นทรงกระบอก มีสันและหนามมากมาย ส่วนของโคนดอกด้านนอกอาจมีหนามปกคลุมหรือไม่มีก็ได้ 










4. กลุ่ม Chinopsis 

    คล้ายกับกลุ่ม Cereus แต่ต้นจะมีขนาดเล็กกว่า และผิวด้านนอกของดอกที่มีลักษณะเป็นหลอดมักมีขนหรือเกล็ดสั้นๆปกคลุม 









5. กลุ่ม Hylocereus 

    คล้ายกับกลุ่ม Cereus แต่จัดว่าเป็นพืชพวก Epiphytic มีระบบรากอากาศ ต้นมีลักษณะเป็นสันหนามค่อนข้างอ่อนแอ 









6. กลุ่ม Neopoteria

    ทรงต้นค่อนข้างเล็ก มีลักษณะกลมแป้นหรือทรงกระบอก ลักษณะของสันต้นชัดเจน ด้านโคนของหลอดดอก มีลักษณะเป็นปุยนุ่มและมีหนาม










7. กลุ่ม Melocactus

    ลักษณะคล้ายกลุ่ม Neopoteria บริเวณโคนของหลอดดอกจะมีปุยนุ่มหรือไม่มีก็ได้ แต่จะไม่มีหนามขึ้นปกคลุม ดอกเกิดทางด้านบนของส่วนที่เรียกว่า Cephalium ยกเว้นสกุล Buininggia ดอกจะเกิดบริเวณด้านข้างของ Cephalium











8. กลุ่ม Echinocactus 


    ลักษณะคล้ายกลุ่ม Melocactus แต่ดอกจะเกิดบริเวณตอนกลางของด้านบนสุดของต้น และ ไม่มี Cephalium 












ที่มา : http://www.thaigoodview.com/node/60083


สกุลของกระบองเพชร







1. Ariocarpus




                            




   มีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 8 ชนิดกับอีก 2-3 สายพันธุ์ ชื่อสกุล Ariocarpus นี้มาจากคำว่า Aria ซึ่งหมายถึงผลของแคคตัสสกุลนี้นั่นเอง ลักษณะของแคคตัสในสกลุนี้ส่วนใหญ่จะมีลำต้นขนาดเล็ก (เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.5 - 15 เซนติเมตร) มักจะขึ้นเป็นต้นยาวๆ หรืออยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ต้นอาจเตี้ยจนมีผิวด้านบนเสมอกับพื้นดิน

  แคคตัสสกลุนี้บางชนิดจะมีเนินหนามซึ่งอาจยาวได้ถึง 5 เซนติเมตร เช่น Ariocarpus tri gonus บางชนิดก็มีขนปุยนุ่มอยู่ที่ซอกเนินหนามซึ่งเป็นบริเวณที่ออกดอกแต่จะมีบางชนิดที่ออกดอกบริเวณยอดของต้น ดอกมีลักษณะเป็นรูปกรวย ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2.5 - 5 เซนติเมตร ดอกมักมีสีขาวหรือสีครีม มีบางชนิด เช่น Ariocarpus lotschoubeyanus มีดอกสีชมพูหรือสีม่วงแดง ผลมีลักษณะเป็นทรงกระบอก ยาวประมาณ 1.25-2.5 เซนติเมตร

   แคคตัสสกุล Ariocarpus มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางตอนเหนือของประเทศเม็กซิโกและทางตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา แคคตัสสกุลนี้เจริญเติบโตช้าและจะเจริญเติบโตได้ดีตามหินหรือททรายที่สามารถระบายน้ำได้ ทนแสงจัดได้ดี 



2. Artrophytum







       แคคตัสสกุลนี้มีอยู่ด้วยกัน 4 ชนิด และอีกหลายสายพันธุ์ ชื่อสกุล Astrophytum มาจากภาษากรีก แปลว่าพืชดาว ลำต้นอ้วนกลม หรือเป็นทรงการบอก บางชนิดอาจมีความสูงถึง 1 เมตร เช่น Astorphytum ornatum ลำต้นแข็ง บางชนิดจะมีปุยหรือเกล็ดสีขาวปกคลุมอยู่ บริเวณลำต้นมี สันต้น 5- 9 สัน อาจมีหนามหรือไม่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ตุ่มหนามมีลักษณะเป็นปุยสีขาวคล้ายสำลี หนามกลางและหนามข้างมีขนาดใกล้เคียงกัน จึงไม่สามารถแยกได้ชัดเจนนัก หนามมีขนาดยาวประมาณ 3 – 10 เซนติเมตร 
แคคตัสสกุลนี้ออกดอกเป็นรูปกรวย บริเวณตอนกลางด้านบนของต้นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 6 – 9 เซนติเมตร สีของดอกส่วนมาก จะอยู่ในโทนสีเหลือง แต่อาจจะมีสีอื่นๆผสมอยู่ในดอกเดียวกัน เช่น กลีบอกสีเหลือง บริเวณโคนกลีบและกลางดอกอาจจะเป็นสีส้มหรือสีแดง เป็นต้น ลักษณะผลเป็นทรงกลม มีขนาด 2.5 เซนติเมตร บางชนิดผลจะมีหนามปกคลุมคล้ายกับต้น เมื่อผลแก่เต็มที่จะแตกออกทางด้านโคน ซึ่งทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ 

       แคคตัสสกุล Astophytum มีถิ่นกำเนิดแถบตอนกลาง ตอนเหนือ และตะวันตกเฉียงเหนือ ของประเทศเม็กซิโก ยกเว้น Astrophytum asterias ซึ่งมีถิ่นกำเนิดมาจากแถบตะวันตกเฉียงใต้ ของประเทศสหรัฐอเมริกา แคคตัสสกุลนี้สามารถเจริญเติบโตได้ที่ระดับความสูงกว่า 2100 เมตร   และเจริญเติบโตได้ในหลายพื้นที่ เช่น ระหว่างซอกหินทะเลทราย หรือใกล้กับไม้พุ่มจำพวกซีโรไฟต์  ( xerophytic bushes) ออกดอกว่าย โอยส่วนใหญ่ ใช้เวลา 3 – 6 ปี ก็จะได้ดอก และสามารถเพราะจากเมล็ดได้  



3. Corypantha







      แคคตัสในสกุลนี้ประกอบด้วย 40 ชนิดและหลายสายพันธุ์ ชื่อ Corypantha มาจากภาษากรีก หมายถึง ยอด และ ดอก รวมแล้วหมายถึง ตำแหน่งการออกดอกบนต้น ทรงต้นมีหลากหลายรูปแบบ มีทั้งที่เป็นทรงกลมขนาดใหญ่ และเล็ก ทรงกระบอก ทรงแท่งเล็ก ความสูงประมาณ  30 เซนติเมตร อาจพบขึ้นอยู่รวมกันเป็นกลุ่มหรือเป็นต้นเดี่ยวกลุ่มที่มีอายุหลายปีอาจมีอยู่รวมกันถึง 50 หัวหรือมากกว่านั้น ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางอาจยาวถึง 65 เซนติเมตร เช่น Corypantha recurvata ซึ่งมีถิ่นกำเนิดอยู่ทางตอนใต้ของรัฐแอริโซนา พบว่ามีถึง 200 หัว ตุ่มหนามมีลักษณะทรงกลมหรือรูปไข่ ประกอบด้วยหนาม 30 อัน ในลักษณะกระจาย หนามยาว 2.5 เซนติเมตร มีสีสันมากมายหลากหลายตั้งแต่สีเหลือง สีชมพู สีส้ม จนถึงสีม่วงแดง บางชนิดกลีบดอกจะมีลักษณะเป็นรอยหยักเล็กๆ ที่ปลายกลีบ ผลมีลักษณะเป็นรูปไข่ขนาดเล็ก ยาวถึง 5 เซนติเมตร เมื่อแก่จะเป็นสีเขียวจนถึงโทนสีแดง 

      แคคตัสสกุล Corypantha มีถิ่นกำเนิดอยู่ในหลายแห่ง ทั้งทางเหนือสุดของรัฐอัลเบอร์ตาในประเทศแคนาดา ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศสหรัฐอเมริกา และในประเทศเม็กซิโก พบได้ที่ระดับความสูง 2000 เมตร บางชนิดเช่น Corypantha vivipara นั้น พบได้ในหลายสภาพพื้นที่ เช่น ทางตอนเหนือที่อากาศหนาวเย็นของรัซอัลเบอร์ตาในเขตทุ่งหญ้า และบริเวณป่า 

       แคคตัสในสกุลนี้ปลูกเลี้ยงง่าย ขยายพันธุ์ได้ทั้งเพราะเมล็ดและตัดแยก บางครั้งพบว่าหัวที่งอกใหม่นั้นมักมีรากงอกติดอยู่ด้วยในฤดูร้อนและฤดูฝนจะชอบน้ำมาก แต่ถ้างดให้น้ำในฤดูหนาวจะช่วยให้ทนต่อ อุณหภูมิต่ำได้ดี  
                                         


4. Discocactus






     แคคตัสสกุลนี้มีอยู่ไม่เกิน 20 ชนิด เจริญเติบโตได้ช้า มักขึ้นเป็นต้นเดี่ยวๆ ทรงกลมแป้น เมื่อต้นมีอายุมากขึ้นอาจจะแตกหน่อหรือกิ่งก้านได้ ต้นมีหลายสี ตั้งแต่สีเขียวอ่อน สีเขียวอมน้ำตาล และสีม่วงเข้ม ต้นเป็นสัน 10 -25 สัน และมีตุ่มหนามเป็นปุยนุ่ม ประกอบด้วยหนามข้าง 5 – 20 อัน แต่ละอันยาวประมาณ 3 เซนติเมตร หนามทั้ง 2 ชนิด สามารถจำแนกออกจากกันได้อย่างชัดเจน หนามมีหลายสี ตั้งแต่สีขาว สีเหลือง สีน้ำตาล จนถึงสีดำ 

     แคคตัสสกุล Discocactus มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศบราซิล โบลิเวีย และปารากวัย การนำต้นไปเพาะเลี้ยงที่อื่นนอกถิ่นกำเนิดนั้นมักจะนิยมเพาะต้นจากเมล็ดมากกว่าการนำต้นที่โตแล้วไปเลี้ยงเพราะต้นจะตายได้ง่าย แคคตัสสกุลนี้เจริญเติบโตได้ดีในดินทรายที่มีธาตุอาหารอุดมสมบูรณ์ บางครั้งอาจจะใช้ดินผสมก็ได้ แต่ต้องมีการระลายน้ำที่ดี ต้นไม่สามารถทนต่ออุณหภูมิต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียสได้  
            

5. Echinocactus








       แคคตัสสกุลนี้มีอยู่มากกว่า 10 ชนิด ต้นมีทรงกลมถึงทรงกระบอก อาจขึ้นเป็นต้นเดี่ยวหรืออยู่รวมกันเป็นกลุ่ม บางชนิดมีขนาดใหญ่มาก อาจมีความสูงถึง 1.8 เมตร และมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 1 เมตร ผิวต้นมีสีเขียวอมห้า เนื้อเยื่อชั้น epidermis ( เนื้อเยื่อชั้นนอกสุดของสิ่งมีชีวิต ทำหน้าที่ปกป้องเซลล์ชั้นอื่นๆ ) แข็งแรงมาก ช่วยป้องกันอันตรายจากแสงแดดที่ร้อนแรงได้ดี ตอนกลางด้านบนของต้นจะมีปุยสีขาวถึงสีเหลื่องปกคลุมลำต้นเป็นสัน 8 – 50 สัน มีตุ่มหนามอยู่ห่างกันเห็นได้ชัดเจน ประกอบด้วยหนามช้างที่ตรงหรือโค้ง แผ่กระจายออกมาจากตุ่มหนาม แต่บางชนิดอาจแนบชิดไปกับผิวต้น มีความแข็งแรงมาก ประมาณ 5 – 12 อัน ยาวมากกว่า 5 เซนติเมตรและมีหนามกลางที่แข็งกว่ายื่นตรงออกมาจากต้น 1 – 4 อัน ยาวประมาณอันละ 5 – 10 เซนติเมตร สีหนามมีตั้งแต่สีขาว สีชมพู สีเหลืองทองจนถึงสีดำ 
ดอกออกเป็นวงรอบยอดของต้นซึ่งมีปุยนุ่ม ส่วนชนิดที่ต้นมีขนาดใหญ่จะออกดอกเป็นวงรอบส่วนบนของต้น ดอกมีหลายสี แต่ส่วนมากอยู่ในโทนสีเหลือง ยกเว้น Echinocactus horizonthalonius ซึ่งมีดอกสีชมพูจนถึงสีม่วง ดอกมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 6.25 เซนติเมตรหลอดดอกมีลักษณะเป็นปุยนุ่ม เมื่อบานจะแผ่กว้างออก ผลมีสีเหมือนกับส่วนปุยนุ่มบนต้น ผิวภายนอกมีลักษณะเป็นขนหรือปุยนุ่มปกคลุมเมื่อแก่เต็มที่จะแห้ง 

        แคคตัสสกุล Echinocactus มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางตอนกลางและทางเหนือของประเทศเม็กซิโก และทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศสหรัฐอเมริกา มักพบอยู่ตามบริเวณที่เป็นหินหรือพุ่มไม้ ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดได้ดี เจริญเติบโตเร็ว โดยเฉพาะ Echinocactus grusonii แต่มีบางชนิด เช่น Echinocactus horizonthalonius และ Echinocactus polycephalus นั้น จะเจริญเติบโตช้า หากเกิดจากการเพาะเมล็ดเมื่อต้นยังเล็ก ควรระวังอันจรายจากอุณหภูมิต่ำและควรงดให้น้ำเมื่อถึงฤดูหนาว 



6. Gymnocalicium







        แคคตัสในสกุลนี้มีอยู่มากว่า 120 ชนิดและอีกหลายสายพันธุ์ชื่อสกุล Gymnocalycium มาจากภาษากรีก หมายถึง ตาเปลือย ( naked bud ) แคคตัสในสกุลนี้เป็นสกุลที่น่าสนใจ เพราะมีลักษณะรูปทรงแตกต่างกันออกไปและมีดอกที่มีสีสันสวยงาม ลางชนิดอาจมีขนาดเล็กขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 7.5 เซนติเมตร เช่น Gymnocalycium baldianum แต่บางชนิดก็อาจจะมีขนาดใหญ่ มีขานดเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 20 เซนติเมตร เช่น Gymnocalycium spegazzinii ชนิดที่มีต้นขนาดเล็กมักจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ส่วนชนิดที่มีขนาดใหญ่มักจะพบขึ้นอยู่เป็นต้นเดี่ยวๆ สีของต้นมีตั้งแต่สีเขียวถึงสีน้ำตาลแดงหรือเป็นสีเทาคล้ายหินชนวน ลำต้นเป็นสันประมาณ 6 – 20 สัน มีลักษณะยื่นออกมาคล้ายคาง ตุ่มหนามมีลักษณะทรงกลมหรือรูปไข่ ปกคลุมด้วยปุยสีขาวหรือสีเหลือง  ในต้นที่มีขนาดเล็กตุ่มหนามจะอยู่ชิดติดกัน ส่วนในต้นที่มีขนาดใหญ่นั้นตุ่มหนามจะอยู่ห่างกัน ตุ่มหนามประกอบไปด้วยหนามข้างที่ละเอียดกระจายแยกออกจากกันแนบกับลำต้น มีอยู่ประมาณ 2 – 12 อันและยาวประมาณ 1 – 6 เซนติเมตร ส่วนหนามกลางจะยาวกว่าหนามข้างเล็กน้อย มีลักษณะแข็ง โผล่ตั้งออกมาจากลำต้น และมีหลายสี ดอกมีกลายลักษณะ มีทั้งที่เป็นทรงกรวยและทรงระฆัง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.5 – 7.5 เซนติเมตร มีหลายสี เช่น สีขาว สีเขียว สีชมพู และสีแดง ผลมีลักษณะเป็นรูปไข่ เมื่อแก่จะเป็นสีเขียวปนน้ำตาล สีแดง หรือ สีเทาคล้ายหินชนวน ผิวของผลมีลักษณะเป็นเกล็ดซ้อนกันเป็นชั้นๆ คล้ายกับผิวนอกของหลอดดอก มีขนาดยาวประมาณ 3.5 เซนติเมตร 


         แคคตัสในสกุล Gymnocalycium มีถิ่นกำเนิดอยู่ในหลายๆพื้นที่ของประเทศอาร์เจนตินา โบลิเวีย ปารากวัย และอุรุกวัย พบได้ในหลายพื้นที่ ทั้งในที่ที่มีระดับความสูง 3500 เมตร ในทุ่งหญ้า หิน ดิน ทราย ลางชนิดที่มีรูปร่างอ้วน กลม นั้น เคยพบว่าถูกฝังอยู่ในทรายตลอดฤดูร้อน แคคตัสในสกุลนี้ลูกเลี้ยงง่าย สามารถออกดอกได้ภายในเวลา 2 – 3 ปี ในช่วงฤดูร้อนควรให้น้ำมาก แต่ควรงดให้น้ำในช่วงฤดูหนาวเพื่อให้สามารถทนต่ออุณหภูมิต่ำได้ 



7. Lophophora







      แคคตัสในสกุลนี้มีอยู่เพียง 2 ชนิด แต่มีหลากหลายสายพันธุ์ชื่อสกุล L0phophora มาจากภาษากรีก หมายถึง การผลิตดอกออกผลที่ส่วนยอด ( crest – bearing )  ลักษณะลำต้นเป็นทรงกลม อ่อนนุ่ม สีเหลืองซีดจนถึงสีเขียวอมฟ้า ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 8 – 13 เซนติเมตร มีทั้งที่ขึ้นเป็นต้นเดี่ยวๆ และเป็นกลุ่ม เป็นระบบรากสมบูรณ์ลำต้นเป็นสัน 5 – 13 สัน ตุ่มหนามเป็นปุย สีขาว อยู่ห่างกันเห็นได้อย่างชัดเจน แต่ไม่มีหนาม ดอกมีหลายสี เช่น สีขาว สีเหลืองครีม และสีชมพู จะมีเส้นสีเข้มตรงกลางตามความยาวของกลีบดอก ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.25 – 2.5  เซนติเมตร จะเกิดดอกบริเวณยอดที่มีสีขาวปกคลุมผลมีลักษณะยาว รี  ค่อนข้างเล็ก เมื่อแก่จะเป็นสีขาว สีชมพู หรือสีแดงภายในจะมีเมล็ดอยู่ 2 – 3 เมล็ด


      แคคตัสในกลุ่ม Lophophora มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางตอนกลางของประเทศเม็กซิโกและทางตะวันออกเฉียงหนือของประเทศสหรัฐอเมริกาเช่น ในรัฐเท็กซัส สามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินเหนียวหรือดินทรายโตช้า แต่ให้ผลได้ง่าย สามารถออกดอกภายในเวลา 5 – 6 ปี 



8. Mammillaria






       แคคตัสในสกุลนี้มีอยู่เพียง 2 ชนิด แต่มีหลากหลายสายพันธุ์ชื่อสกุล L0phophora มาจากภาษากรีก หมายถึง การผลิตดอกออกผลที่ส่วนยอด ( crest – bearing )  ลักษณะลำต้นเป็นทรงกลม อ่อนนุ่ม สีเหลืองซีดจนถึงสีเขียวอมฟ้า ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 8 – 13 เซนติเมตร มีทั้งที่ขึ้นเป็นต้นเดี่ยวๆ และเป็นกลุ่ม เป็นระบบรากสมบูรณ์ลำต้นเป็นสัน 5 – 13 สัน ตุ่มหนามเป็นปุย สีขาว อยู่ห่างกันเห็นได้อย่างชัดเจน แต่ไม่มีหนาม ดอกมีหลายสี เช่น สีขาว สีเหลืองครีม และสีชมพู จะมีเส้นสีเข้มตรงกลางตามความยาวของกลีบดอก ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.25 – 2.5  เซนติเมตร จะเกิดดอกบริเวณยอดที่มีสีขาวปกคลุมผลมีลักษณะยาว รี  ค่อนข้างเล็ก เมื่อแก่จะเป็นสีขาว สีชมพู หรือสีแดงภายในจะมีเมล็ดอยู่ 2 – 3 เมล็ด


        แคคตัสในกลุ่ม Lophophora มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางตอนกลางของประเทศเม็กซิโกและทางตะวันออกเฉียงหนือของประเทศสหรัฐอเมริกาเช่น ในรัฐเท็กซัส สามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินเหนียวหรือดินทรายโตช้า แต่ให้ผลได้ง่าย สามารถออกดอกภายในเวลา 5 – 6 ปี 



9. Melocactus







       แคคตัสในสกุลนี้มีอยู่มากมายกว่า 60 ชนิด ชื่อสกุล Melecactus มาจากภาษากรีกว่า Melos ( Melon ) หมายถึง รูปทรงของต้นที่เป็นทรงกลมแป้นหรือทรงการะบอก มีทั้งที่ขึ้นเป็นต้นเดี่ยวๆ หรือชึ้นอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม เมื่อต้นเจริญเติบโตเต็มที่จนถึงระยะผลิตดอกออกผลจะเกิดปุยนุ่มที่เรียกว่า cephalium ที่บริเวณยอดของต้น ซึ่งดอกและผลก็จะเกิดขึ้นในบริเวณนี้ด้วย 

        แคคตัสในสกุลนี้มีลำต้นสูงประมาณ 10 – 20 เซนติเมตร ลำต้นมีลักษณะตั้งตรง เป็นสันประมาณ 9 – 20 สัน มีตุ่มหนามรูปไข่ขนาด 2.5 เซนติเมตร ประกอบไปด้วยหนามข้างที่มีลักษณะโค้งงอ แนบขนานไปกับนำต้น ประมาณ 8 – 15 อัน แต่ละอันยาวประมาณ 1.25 7.5 เซนติเมตร ส่วนหนามกลางยื่นตรงออกมาจากลำต้น มีอยู่ประมาณ 1 – 5 อัน และยาว 2 – 9 เซนติเมตร ทั้งหนามกลางและหนามข้างแข็งแรงมาก ยกเว้นชนิดที่มีหนามสั้นซึ่งหนามมักอ่อนและละเอียด สีหนามมีหลายสี เช่น สีขาว น้ำตาลออกแดงเข้ม และดำ บริเวณ cephalium ประกอบด้วยขนสีขาวหรือสีอื่นๆ และอาจมีหนามแข็งสีต่างๆ ได้ด้วยดอกมีสีออกโทนม่วงแดง มักออกเป็นวงและฝั่งจมอยู่ใน cephalium มีขนาดยาวประมาณ 1.25 – 3.75 เซนติเมตร โดยความยาวของดอกซ่อนอยู่ใน cephalium ผลมีลักษณะยาวเป็นทรงไม่พลอง ยาวมากกว่า 2.5 เซนติเมตร เมื่อแก่จะมีสีชมพูถึงสีแดงแจ่มจ้า บางครั้งผลก็จะจมอยู่ใน cephalium ไม่ปรากฏออกมาให้เห็น 

         แคคตัสสกุล Melocactus พบมากที่สุดในบริเวณตอนใต้ของหมุ่เกาะเวสต์อินดีส ทางตอนใต้ของประเทศเม็กซิโก สหรัฐอเมริกาและบราซิล ขยายพันธุ์ได้ง่ายด้วยเมล็ด เจริญเติบโตได้ดีในหลายๆ พื้นที่และหลายๆ สภาพแวดล้อม จะใช้เวลาประมาณ 5 – 10 ต้นจึงจะสร้าง cephalium แต่ถ้าเป็นชนิดที่ต้นมีขนาดเล็กอาจจะต้องใช้เวลามากกว่านี้ในช่วงฤดูร้อนมีความต้องการน้ำมาก แต่ควรงดให้น้ำในช่วงฤดูหนาว



10. Obregonia







       แคคตัสในสกุลนี้มีอยู่เพียงชนิดเดียว คือ   Obregonia denegrii ซึ่งได้รับการค้นพบในปี พ.ศ. 2468 ชื่อสกุล Obregonia ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ประธานาธิบดีของประเทศเม็กซิโก คือ Alvaro Obregon ลักษณะลำต้นเป็นทรงกลม มีจุดเด่นคือ เป็นกลีบหนา สีเขียว ปลายงอนแหลม เรียงหงายซ้อนกันเป็นชั้น ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 15 เซนติเมตร และมีขนาดฐานกว้างถึง 2.5 เซนติเมตร ตุ่มหนามอยู่บริเวณปลายกลีบ มีปุยนุ่มสีขาว ประกอบไปด้วยหนาม 4 อัน แต่ละอันยาวมากกว่า 1.5 เซนติเมตร ดอกจะเกิดบริเวณปุยนุ่มตรงกลางยอดของต้น มีสีขาวหรือสีชมพูซีด ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.5 เซนติเมตร ส่วนผลมีสีขาวหรือสีชมพูซีด ขนาดเล็ก เมื่อแห้งจะแตกออก 

      แคคตัสกลุล Obregonia มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางแถบตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศเม็กซิโก ขยายพันธุ์ได้ง่ายด้วยเมล็ด ชอบขึ้นใต้ร่มเงาของต้นไม่จำพวก xerophyte เจริญเติบโตค่อนข้างช้า ของดินที่มีการะบายน้ำดี ชอบร่มเงา ถ้าต้นได้รับแสงมากเกินไปจะแดงและชะงักการเจริญเติบโต 




11. Opuntia







        แคคตัสในสกุลนี้มีอยู่มากมายกว่า 400 ชนิดและอีกหลากหลายสายพันธุ์ ชื่อสกุล Opuntia มาจากชื่อเมือง Opuntia ในประเทศกรีซ แคคตัสในสกุลนี้มีหลากหลายลักษณะ มีทั้งต้นเล็ก เป็นทรางกลมต่อๆ กันจนถึงชนิดที่มีขนาดใหญ่ เป็นทรงการะบอกต่อกัน และสูงกว่า 2 เมตร และบางครั้งก็พบว่ามีลักษณะสูงใหญ่เหมือนไม้ยืนต้นส่วนหนามก็มีทั้งแบบแข็ง ยาว และ เป็นอันตราย เช่น O[untia bigelovii หรือเป็นแบบอ่อนคล้ายการะดาษ เช่น Opuntia platyacantha ดอกของแคคตัสใสสกุลนี้ไม่มีท่อดอก แต่ส่วนรังไข่มีขนาดใหญ่ปกคลุมด้วยหนาม ดอกมีหลายสี เช่น สีขาว สีเหลือง สีน้ม สีแดง และ สีม่วงแดง มักจะออกดอกดกและสวยงามมาก ส่วนผลมีลักษณะทรงกลมหรือรูปไข่ เมื่อแก่จะมีสีเหลืองถึงสีแดง ขนาดเส็นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.5 - 7.5  เซนติเมตร แคคตัสในสกุลนี้หลายชนิดสามารถผสมตัวเองจนเกิดผลและร่วงหล่นจนงอกเป็นต้นใหม่เองได้เช่น Opuntia fulgida 


        แคคตัสสกุลนี้มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางตอนเหนือสุดของประเทศแคนาดา ตอนใต้ของสหรัฐเอมริกา แม็กซิโก เอมริกากลาง ตะวันตกของหมู่เกาะเวสต์อินดีส เกาะกาลาปาโกส และใต้สุดของเทียราเดลฟิวโกในพาทาโกเนีย พบได้มากในที่ที่มีระดับความสูง 3700  เมตร จากระดับน้ำทะเลส่วนใหญ่ชอบน้ำและทนต่ออุณหภูมิต่ำได้ถึง -18 องศาเซลซียส แต่มีบางชนิดที่มาจากทางตะวันตกของหมู่เกาะเวสต์อินดีสไม่สามารถทนอากาศหนาวเย็นได้



12. Sulcorebutia







      แคคตัสในสกุลนี้มีอยู่ประมาณ 40 ชนิด และอีกหลายสายพันธุ์ ชื่อสกุล Sulcorebutia มาจากภาษาละตินว่า sulcus ซึ่งหมายถึง ร่องหรือรอย แคคตัสในสกุลนี้มีลักษณะคล้ายกับสกุล Rebutia ต่างกันตรงที่รุ่มหนามจะแคบและยาวกว่า มักจะขึ้นเป็นต้นเดี่ยวๆ หรือยู่ราวกันเป็นกลุ่ม ลำต้นมีลักษณะทรงกลม เป็นสันชัดเจน มีหลายสี เช่น สีเขียว สีออกแดง หรือสีเทาอมดำ หนามมีลักษณะเป็นรูปหวี ไม่มีหนามากลาง ดอกมีลัษณะคล้ายกับสกุล Rebutia เกิดที่บริเวณโคนต้น กลีบดอกมีผิวมันคล้ายเคลือบด้วยขค้ผึ้ง ในบางชนิดกลีบดอกอาจะมี 2 สีปนกัน ผลมีลักษณะทรงกลมหรือเป็นรูปขอบขนาน ผิวเรียบเรือมีเกล็ดปกคลุมเล็กน้อย 


       แคคตัสในสกุล Sulcorebutia มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ประเทศโบลิเวียพบมากตามภูเขาสูง เจริญเติบโตได้ดีในดินที่มี่แร่ธาตุอุดมสมบูรณ์ออกดอกเกือบตลอดทั้งปี  



13. Thelocactus







        แคคตัสในสกุลนี้มีอยู่ประมาณ 25 ชนิด และอีกหลากหลายสายพันธุ์ Thelocactus มาจากภาษากรีก หมายถึง แคคตัสหัวนม ( nipple cactus ) มีลักษณะทรงกลมถึงทรงกระบอก สีเขียวถึงสีเทาอาจจะขั้นอยู่เป็นกลุ่มหรือเป็นต้นเดี่ยวๆ ก็ได้ โครงสร้างของพูกลีบมีลักษณะเป็นหัวย่อยๆ มากมาย  ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 20 เซนติเมตร  และสูงประมาณ 25 เซนติเมตร ลำต้นเป็นสัน 20 สัน ตุ่มหนามมีลักษณะทรงกลมหรือรูปไข่ มักมีปุยสีขาวหรือสีครีมปนอยู่ด้วยประกอบไปด้วยหนามข้างค่อนเล็กและแข็งแรงปานกลาง มักขึ้นแผ่กระจายแนบขนานไปกับลำต้น ประมาณ 25 อัน แต่ละอันยาวมากกว่า 3  เซนติเมตร ส่วนหนามกลางเข็งแรงกว่าหนามข้าง มีหลาลักษณะ เช่น ตรง โค้งงอ หรืออ้วน และมีหลายสี เช่นสีขาว สีเหลือง สีแดงและสีดำ มีอยู่ประมาณ 1 – 4 อัน ดอกมีหลายสี เช่น สีขาว สีแดง สีม่วงแดง มี ลักษณะบานแผ่ออกกว้าง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4 – 7 เซนติเมตร ส่วนผลมีลักษณะทรงกลมหรือรูปไข่ เมื่อแก่จะแห้งและแตกออก ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 เซนติเมตร 


         แคคตัสสกุล Thelocactus มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศเม็กซิโกทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศสหรัฐอเมริกา ขยายพันธุ์ได้โดยการเพาะเมล็ด เจริญเติบโตช้า แต่ปลูกเลี้ยงง่าย ชอบดินที่มีการระบายน้ำดีปานกลาง ในช่วงฤดูร้อนและฤดูฝนจะชอบน้ำมาก แต่ควรงดให้น้ำในช่วงฤดูหนาวเพื่อให้สามาตรทนต่ออุณหภูมิต่ำได้  



14. Uebelmannia







       แคคตัสในสกุลนี้มีอยู่ด้วยกัน 5 ชนิด ลำต้นมีลักษณะทรงกลมถึงทรงกระบอก ขนาดเล็ก ลำต้นเป็นสันสีน้ำตาลลอมแดง ผิวต้นเป็นมันคล้ายเคลือบด้วยขี้ผึ้ง สันต้นประกอบไปด้วยตุ่มหนามที่มีปุยสีขาวปกคลุม และมีหนามแข็ง สั้นๆ ตั้งตรงสีขาวอยู่ 2 – 3 อัน ดอกมีสีเหลืองลักษณะทรงกรวย ขนาดเล็ก จะผลิดอกบริเวณปลายยอดของต้น ผลมีลักษณะทรงกลมถึงทรงกระบอก สีเหลืองอมเขียวหรือสีแดง เกิดบริเวณลายยอดของต้น เมล็ดมีลักษณะทรงกลมหรือรูปไข่ สีดำหรือสีน้ำตาว ขนาดเส้นผ่าศูนย์กาลางประมาณ 2.3 มิลลิเมตร 


         แคคตัสสกุล Uebelmannia มีถิ่นกำเนิดอยู่แถบประเทศบราซิลชอบดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ ร่มเงา ความชื้นในอากาศต่ำ และอากาศอบอุ่น และที่สำคัญก็คือไม่ควรให้น้ำโดยการรดลงดินโดยตรงแต่ควรให้โดยการฉีดพ่นเป็นฝอยจะดีกว่า








ที่มา :  http://www.thaigoodview.com/node/60083

การดูแลกระบองเพชร








การให้ปุ๋ย 

      ปุ๋ย มีสารอาหารที่พืชต้องการสำหรับการเจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพ นิยมเป็นปุ๋ยวิทยาศาสตร์ที่ ใช้กับกระบองเพชร เหมือนกับปุ๋ยที่ใช้กับไม้ดอกไม้ประดับทั่วไป ทุก 1-2 สัปดาห์ต่อครั้ง โดยระมัด ระวังไม่ให้ปุ๋ยเข้มข้นจนเกินไป  เช่นปุ๋ยน้ำชูลท์ซแคคตัส หรือมิราเคิล โกร เอ 5-10-5 (NPK) เป็นสารประกอบที่ทำงานได้ดีที่สุด และสำหรับในช่วงเวลาที่ปกติ (พฤศจิกายน ถึงมีนาคม) ไม่ต้องใส่ปุ๋ยใดๆเพิ่มอีก 


การรดน้ำ  

       ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคือการรดน้ำ บางทีการรดน้ำในปริมาณมากเกินไปจนทำให้ระบบรากเน่าจนไม่สามารถแก้ปัญหาได้แล้ว การรดน้ำควรจะทำสัปดาห์ละครั้ง คุณสามารถตรวจสอบได้โดนใช้นิ้วแทงลงไปในดินประมาณครึ่งนิ้ว ถ้าหากดินด้านบนเริ่มแห้งแล้วแสดงว่ากระบองเพชรเริ่มต้องการการรดน้ำ ให้รดน้ำจนน้ำซึมไปจนถึงรูระบายน้ำด้านล่างกระถาง ให้ลดความถี่การให้น้ำแทนการลดปริมาณของน้ำในแต่ละครั้ง และในช่วงฤดูหนาวให้ตรวจสอบความต้องการน้ำของกระบองเพชรให้บ่อยขึ้น

แสงแดด

       กระบองเพชรเป็นพืชที่ชอบแสงแดด ให้นำกระบองเพชรไปไว้ในพื้นที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ ให้นำไว้ในจุดที่มีแสงมาก จุดที่ดีนั้นคือบริเวณหน้าต่าง, ห้องโถงหรือ บริเวณที่มีแสงเข้าถึงกระบองเพชรจะไม่ชอบให้ปลูกในที่ร่ม

การเปลี่ยนภาชนะปลูก

       ทำได้ง่ายๆโดยการใช้ผ้าหรือกระดาษหุ้มรอบต้น เพื่อป้องกันอันตรายจากหนาม และเพื่อไม่ให้ต้นกระทบกระเทือนเคาะกระถางเบาๆเพื่อให้ต้นของกระบองเพชรหลุดออกมา นำต้นไปปลูกในกระถางใหม่ต่อไป







ที่มา : http://www.petchtamsee.com/th/care-for-your-cactus

การปลูกกระบองเพชร








ขั้นตอนการปลูก


1.เตรียมดิน   

     ควรใช้ดินร่วนเหนียวประมาณ 2 ส่วน ผสมกับทรายหยาบขนาดเมล็ดถั่วเขียว จะทำให้ดินโปร่งระบายน้ำได้ดี โดยใช้ทรายหยาบ 3 ส่วน ผสมถ่านดำมาทุบให้แตกเป็นก้อนเล็ก ๆ ประมาณ 1 ส่วน


2.การปลูกในกระถาง   

      อุดรูที่ก้นกระถางก่อน แล้วเอากรวดโดยทับเล็กน้อย จึงเอาดินลงไปผสม ที่เหลือให้โรยด้วยกรวดและก้อนหินเล็ก ๆ เพื่อความสวยงาม และเวลารดน้ำดินจะไม่กระเด็นเลอะเทอะ  การเลือกกระถางต้องเลือกแบบที่เหมาะสมกับรูปทรงของต้นแค็ตตัสด้วย เวลาจับต้นลงปลูก ถ้าหากว่าต้นนั้นๆ มีหนาม ต้องจับต้นแค็ตตัสด้วยเศษผ้าหรือกระดาษหนังสือพิมพ์ เพื่อป้องกันหนามตำมือ เมื่อปลูกเสร็จแล้วให้รดน้ำให้ชุ่ม


3.การปลูกลงดิน    

       ต้องเลือกที่น้ำไม่ขัง ควรเป็นที่โล่งแจ้ง มีแสงแดดส่องประมาณ 3-4 ชั่วโมง ควรรดน้ำ
2-3 วันต่อครั้ง และต้องระบายน้ำได้หมดหลังจากการรดน้ำทุกครั้ง


4.  กรรมวิธีในการขยายพันธุ์

- ปลูกโดยใช้เมล็ด เป็นวิธีที่ง่ายและลงทุนน้อย โดยการนำเอาเมล็ดมาเพาะในกระบะ หากเมล็ดเล็ก      มากควรโปรยทรายหยาบลงผสมด้วย ถ้าเป็นเมล็ดใหญ่ต้องวางให้เป็นระเบียบ เมื่อเกิดมีความชื้นที่พอเหมาะเมล็ดนั้นก็งอกขึ้นมา 
- แยกหน่อจากกอ แล้วนำไปเพาะชำในแปลงเพาะที่เตรียมไว้ เป็นวิธีที่นิยมอีกวิธีหนึ่ง เพราะง่ายและ     สะดวก 
- การต่อตะบองเพชร ด้วยการตัดตรงกลางลำต้น ปล่อยให้ส่วนบนแห้ง แล้วนำไปปักลงดินให้แตกราก






ที่มา : http://www.vgnew.com/home/FreelanceDetail.aspx?strID=2

ลักษณะของกระบองเพชร








ลักษณะของต้น

          
           ไม้พุ่ม อวบน้ำ ลำต้นและกิ่งกลม ตั้งตรง หยักลึกเป็นร่องโดยรอบ 3-7 สัน อาจมีได้ถึง 11 สัน สูง 3-15 คอดตรงรอยต่อ แตกหน่อที่โคน ขุมหนามห่างกัน 1-2.5 ซมแต่ละขุมมีหนามจำนวนไม่เท่ากัน ตามธรรมชาติมีได้ถึง 14 อัน ดอกออกเดี่ยวๆ ใกล้ยอด โคนกลีบรวมติดกันเป็นรูปกรวยกลีบรวมชั้นนอกสีเขียว น้ำตาลอมเขียว หรือแดงอมม่วงแดง กลีบรวมชั้นในสีขาว เกสรเพศผู้มีจำนวนมาก ยอดเกสรเพศเมียเป็นแฉกหลายแฉก ผลรูปไข่สุกสีแดง มีขนเล็กน้อย เนื้อในสีขาว มีเมล็ดมาก เมล็ดสีดำ

ลักษณะของใบ  

          ใบคือส่วนของลำต้นที่ทำหน้าที่แทนใบ หรือบางชนิดก็มีใบแบนกลมหน้าใหญ่ อาจมีดอกสีแดง สีเหลือง หรือสีขาว

ลักษณะของดอก  

          ลักษณะดอกและขนาดดอกขึ้นกับชนิดพันธุ์





ที่มา : http://www.nanagarden.com/Content.aspx?ContentID=10257